เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกหมวดหมู่ของอาณาจักรสัตว์
ปัจจุบันสัตว์ในโลกที่มนุษย์รู้จักมีมากกว่า
1 ล้านสปีชีส์ พบทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม และบนบก
ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrate) และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
(Vertebrate) และสามารถจำแนกเป็นไฟลัมต่างๆ ได้ราว 35 ไฟลัม แต่ส่วนใหญ่จะเรียนรู้กันเฉพาะไฟลัมใหญ่ๆ เท่านั้น
ซึ่งในการจัดจำแนกจะใช้เกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
1.
ระดับการทำงานร่วมกันของเซลล์ (Level
of cell organization)
โดยดูการร่วมกันทำงานของเซลล์และการจัดเป็นเนื้อเยื่อนั้น
มีลักษณะเป็นอย่างไรมากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งทำให้แบ่งสัตว์ออกเป็นพวกใหญ่ๆ คือ 1.1 เนื้อเยื่อที่ไม่แท้จริง (No true tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า
พาราซัว (Parazoa) เนื่องจากเซลล์ในสัตว์กลุ่มนี้ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์
โดยเซลล์ทุกเซลล์จะมีหน้าที่ในการดำรงชีวิตของตนเอง หน้าที่ทั่วไป คือ ด้านโภชนาการ
และสืบพันธุ์ ได้แก่ พวกฟองน้ำ
-เนื้อเยื่อที่แท้จริง (True tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า ยูเมตาซัว (Eumetazoa) ซึ่งเนื้อเยื่อจะถูกสร้างขึ้นเป็นชั้น
หรือเรียกว่า ชั้นของเนื้อเยื่อ (Germ layer) มี 2 ประเภท คือ
-เนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica)
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก (Ectoderm) และเนื้อเยื่อชั้นใน
(Endoderm) ได้แก่ พวกไฮดรา แมงกะพรุน โอบีเลีย
-เนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica)
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก ชั้นกลาง (Mesoderm) และชั้นใน ได้แก่ พวกหนอนตัวแบนขึ้นไป จนถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
2.
สมมาตร (Symmetry)
คือ ลักษณะการแบ่งร่างกายออกเป็นซีกๆ ตามความยาวของซีกเท่าๆ กัน
มีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่
-ไม่มีสมมาตร (Asymmetry) มีรูปร่างไม่แน่นอน
ไม่สามารถแบ่งซีกซ้ายและซีกขวาได้เท่าๆ กัน ได้แก่ พวกฟองน้ำ
-สมมาตรแบบรัศมี (Radial symmetry) ร่างกายของสัตว์จะมีรูปร่างคล้ายทรงกระบอก หรือล้อรถ
ถ้าตัดผ่านจุดศูนย์กลางแล้วจะตัดอย่างไรก็ได้ 2
ส่วนที่เท่ากันเสมอ หรือเรียกว่า มีสมมาตรที่ผ่าซีกได้เท่าๆ กันหลายๆ
ครั้งในแนวรัศมี ได้แก่ สัตว์พวกไฮดรา แมงกะพรุน ดาวทะเล เม่นทะเล
-สมมาตรแบบครึ่งซีก (Bilateral symmetry) หรือมีสามาตรที่ผ่าซีกได้เท่าๆ กัน เพียง 1 ครั้ง
สมมาตรแบบนี้สามารถผ่า หรือตัดแบ่งครึ่งร่างกายตามความยาวของลำตัวแล้วทำให้ 2 ข้างเท่ากัน ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม แมลง
สัตว์มีกระดูกสันหลัง
3.
ลักษณะช่องว่างในลำตัวหรือช่องตัว (Body
cavity or coelom)
คือ ช่องว่างภายในลำตัวที่อยู่ระหว่างผนังลำตัวกับอวัยวะภายในตัว
ภายใน coelom มักจะมีของเหลวอยู่เต็ม
ของเหลวเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งระบบไหลเวียนโลหิตง่ายๆ
ในสัตว์บางพวกช่วยลำเลียงสารอาหาร ออกซิเจน และของเสีย เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยลดแรงกระแทกจากภายนอกที่อาจเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน
และยังเป็นบริเวณที่ทำให้อวัยวะภายในเคลื่อนที่ได้อิสระจากผนังลำตัว
ยอมให้อวัยวะขยายใหญ่ได้ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสัตว์ได้ แบ่งเป็น 3 พวก คือ
-ไม่มีช่องว่างในลำตัวหรือไม่มีช่องตัว
(No body cavity or acoelom) เป็นพวกที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นอยู่ชิดกัน โดยไม่มีช่องว่างในแต่ละชั้น ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน
-มีช่องตัวเทียม (Pseudocoelom)
เป็นช่องตัวที่เจริญอยู่ระหว่าง mesoderm ของผนังลำตัว
และ endoderm ซึ่งเป็นทางเดินอาหาร
ช่องตัวนี้ไม่มีเยื่อบุช่องท้องกั้นเป็นขอบเขต ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม โรติเฟอร์ (rotifer)
-มีช่องตัวที่แท้จริง (Eucoelom
or coelom) เป็นช่องตัวที่เจริญแทรกอยู่ระหว่าง mesoderm 2 ชั้น คือ mesoderm ชั้นนอกเป็นส่วนหนึ่งของผนังลำตัว
(Body wall) กับ mesoderm ชั้นในซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผนังลำไส้
(Intestinal wall) และ mesoderm ทั้งสองส่วนจะบุด้วยเยื่อบุช่องท้อง
(Peritoneum) ได้แก่ ไส้เดือนดิน หอย แมลง ปลา
สัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นต้น
4.
ทางเดินอาหาร (Digestive
tract) โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
-ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (Incomplete digestive tract) เป็นทางเดินอาหารของสัตว์ที่มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก
หรือมีช่องทางเดินอาหารเข้าออกทางเดียวกัน หรือทางเดินอาหารแบบปากถุง (One-hole-sac)
ได้แก่ พวกไฮดรา แมงกะพรุน หนอนตัวแบน
-ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) เป็นทางเดินอาหารของสัตว์ที่มีทั้งปากและทวารหนัก
หรือมีช่องทางเข้าออกของอาหารคนละทางกัน หรือทางเดินอาหารแบบท่อกลวง (Two-hole-tube)
ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง
5.
การแบ่งเป็นปล้อง (Segmentation)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น